เลือกน้ำยาซักผ้าที่เหมาะสม
- 1ถ้าผ้าบางขาดง่าย ให้เลือกน้ำยาสูตรถนอมผ้า. น้ำยาสูตรถนอมผ้าใช้ได้กับผ้าแทบทุกชนิด ขอแค่ไม่ต้องดูแลเป็นพิเศษ อย่างผ้าไหม ผ้าลูกไม้ ผ้าขนสัตว์ หรือผ้าทอ ให้เลือกน้ำยาซักผ้าที่เน้นถนอมผ้าบางขาดง่าย จะยี่ห้อไหนก็แล้วแต่ความชอบ[1]
- ใช้น้ำยาซักผ้ายี่ห้อไหนก็ได้ ขอแค่เลือกที่ถนอมผ้า แต่ใช้กับผ้าที่ต้องดูแลเป็นพิเศษอย่างผ้าไหม ผ้าลูกไม้ หรือผ้าขนสัตว์ไม่ได้
- แชมพูเด็กหรือสบู่เหลวสูตรถนอมผิวก็ใช้ได้เหมือนกัน
- 2ลองใช้น้ำยาทำความสะอาดแบบไม่ต้องล้างออก กับผ้าไหมและผ้าลูกไม้. ถ้าเสื้อผ้าชิ้นไหนทำจากผ้าบางขาดง่าย อย่างผ้าไหมและผ้าลูกไม้ ให้เลือกน้ำยาที่ไม่ต้องล้างออกหลังแช่ผ้าในน้ำแล้ว จะทำให้ทำความสะอาดผ้าไหมกับผ้าลูกไม้ได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องกลัวผ้าเสียหายเพราะซักและล้างน้ำมากไป[2]
- คุณหาซื้อน้ำยาทำความสะอาดผ้าแบบไม่ต้องล้างออกได้ตามเน็ต หรือแผนกสเปรย์และน้ำยาทำความสะอาดในห้างสรรพสินค้าทั่วไป ถ้าสั่งซื้อทางเน็ต อาจจะมีคนหิ้วมาจากเมืองนอก ยี่ห้อที่ดังๆ ก็เช่น Eucalan และ Persil
- 3ใช้น้ำยาที่มี lanolin กับผ้าขนสัตว์และผ้าทอ. lanolin เป็นน้ำมันตามธรรมชาติที่ได้จากแกะ ทำให้ขนแกะกันน้ำได้ จะทำให้ผ้าขนสัตว์และผ้าทอนุ่มขึ้น ให้ใช้น้ำยาซักผ้าที่มี lanolin กับผ้าขนสัตว์หรือผ้าทอ เพื่อคงความอ่อนนุ่มของเส้นใย ไม่เสียหายระหว่างซัก[3]
- คุณหาซื้อน้ำยาที่มี lanolin ได้จากในเน็ต หรือแผนกน้ำยาซักผ้าในห้างสรรพสินค้าทั่วไป
ส่วน2ซักผ้าด้วยมือ
ส่วน2
- 1ซักผ้าสีอ่อนกับสีเข้มแยกกัน. เริ่มจากผ้าสีอ่อนที่สุดก่อนเสมอ เก็บผ้าสีเข้มไว้ซักทีหลัง แนะนำให้ซักผ้าทีละตัว เพื่อป้องกันสีตกใส่กัน[4]
- ถ้าซื้อเสื้อผ้ามาใหม่ แล้วเป็นผ้าที่ผ่านการย้อมสีหรือมัดย้อมมา ต้องซักแยกอีกอ่างหรือกะละมังเลย สีจะได้ไม่ตกใส่ผ้าชิ้นอื่น
- 2เติมน้ำทั้ง 2 กะละมัง. ใช้กะละมังนี่แหละดี เพราะซักผ้าทีละชิ้นหรือหลายชิ้นได้สบายๆ แต่แนะนำให้ซักทีละชิ้นป้องกันสีตก แต่จะใช้อ่างล้างจาน อ่างล้างมือ หรืออ่างอาบน้ำก็ยังได้ ให้เปิดน้ำใส่ทั้ง 2 ภาชนะ ให้ได้ ¾ ของภาชนะ โดยใช้น้ำอุณหภูมิประมาณ 30 องศาเซลเซียส (85 องศาฟาเรนไฮต์) หรือแตะแล้วแค่พออุ่นๆ ถ้าน้ำร้อนไป เสื้อผ้าจะสีตกได้ แต่ถ้าน้ำเย็นไป ก็ขจัดคราบได้ไม่ดี[5]
- ถ้ากลัวซักแล้วเสื้อผ้าหด ให้ใช้น้ำเย็นทั้ง 2 กะละมัง เพื่อป้องกันไม่ให้ผ้าหดเพราะน้ำอุ่น
- จะใช้น้ำกะละมังเดียวกันก็ได้ ถ้าผ้าสีเดียวกัน เช่น แยกซักกะละมังผ้าสีเข้มกับสีอ่อน
- 3ใส่น้ำยาซักผ้าในกะละมังใบหนึ่ง. ให้ใส่น้ำยาซักผ้า 1 ช้อนชา (5 กรัม) ต่อผ้า 1 ชิ้น จากนั้นผสมให้ละลายไปกับน้ำ[6]
- 4ซักผ้าในน้ำ. เอาผ้าใส่กะละมังที่มีน้ำผสมน้ำยาซักผ้า กดผ้าลงไปในน้ำจนมิด แล้วใช้มือแกว่งผ้าไปมาในน้ำ ขจัดสิ่งสกปรก ให้แกว่งเร็วๆ เหมือนเครื่องซักผ้า ทำแบบนี้สัก 2 - 3 นาที หรือจนกว่าผ้าจะดูสะอาดแล้ว
- อย่าขยี้ ถู หรือบิดผ้าในน้ำ เพราะเนื้อผ้าจะเสียหายได้
- อย่าแช่ผ้าในน้ำนานเกิน 3 - 4 นาที เพราะผ้าอาจจะหดได้
- 5ล้างน้ำให้สะอาดในอีกกะละมัง. พอซักผ้าสะอาดแล้ว ให้เอาขึ้นจากกะละมังแรก แล้วค่อยๆ ใส่ในกะละมังที่มีน้ำสะอาด ล้างน้ำยาซักผ้าโดยแช่ผ้าในน้ำแล้วยกขึ้นจากกะละมัง สลับไปมาแบบนี้ 2 - 3 นาที เพื่อไม่ให้เหลือน้ำยาตกค้าง[7]
- เช็คว่าผ้าสะอาดดีแล้ว ไม่เหลือฟอง หรือน้ำยา ถ้ายังไม่สะอาดดี ให้เทน้ำในกะละมังทิ้ง เติมน้ำใหม่ แล้วล้างจนผ้าสะอาด
- ถ้าซักผ้าด้วยน้ำยาทำความสะอาดแบบไม่ต้องล้างออก ก็ไม่ต้องทำขั้นตอนนี้
ส่วน3ตากผ้า
ส่วน3
- 1ห้ามบิดผ้าให้แห้งเด็ดขาด. พยายามอย่าบิดผ้าเป็นเกลียวเพื่อไล่น้ำให้ผ้าแห้ง เพราะทำผ้ายืดย้วย เนื้อผ้าเสียได้ แนะนำให้ยกผ้าเหนือน้ำ รอจนน้ำส่วนเกินไหลลงกะละมังไปหมด[8]
- 2ปูผ้าราบไปกับพื้นผิวสะอาดๆ ทิ้งไว้จนแห้ง. ปูผ้าเปียกบนพื้นผิวสะอาดๆ เช่น หน้าเคาน์เตอร์ หรือบนโต๊ะ พยายามรีดให้ผ้าเรียบไปกับพื้นผิวนั้น โดยที่คงรูปทรงที่เหมาะสมของผ้าชิ้นนั้น[9]
- จะตากผ้ากับราว/เชือกก็ได้ แต่ให้ตากแนวราบ อย่าห้อยในแนวดิ่งลงมา เพราะจะทำให้เสื้อผ้าเสียทรงได้
- 3กลับด้านผ้าให้แห้งทั่วกัน. รอสัก 2 - 4 ชั่วโมงจนผ้าด้านนั้นแห้ง แล้วค่อยกลับด้านผ้า ตากให้อีกด้านแห้งสนิทบ้าง ตากผ้าไว้ข้ามคืน ตอนเช้าค่อยมาเช็คว่าผ้าแห้งทั้ง 2 ด้านหรือยัง
สิ่งของที่ใช้
- น้ำยาสูตรถนอมผ้า หรือน้ำยาทำความสะอาดที่ไม่ต้องล้างออก
- อ่างหรือกะละมังใหญ่ๆ 2 ใบ
- น้ำสะอาด
- ที่สะอาดสำหรับผึ่งหรือตากผ้า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น